บทที่ 10 อู๋ฮองเฮา (๓)

“หลินไท่เฟย จัดงานในเขตตำหนักเช่นนี้ มีเรื่องอะไรน่ายินดีกระนั้นหรือ?” ไทเฮาเดินเข้ามาถามด้วยท่าทีวางอำนาจเหนือกว่า ทว่าหลินไท่เฟย กลับไม่ใคร่ให้ความสนใจกับสตรีตรงหน้ามากนัก ด้วยเพราะพระนางอยู่ในวังหลวงมาเนิ่นนาน เห็นการแก่งแย่งชิงดีมาก็ไม่น้อย แม้ในอดีตจะมีตำแหน่งเป็นสนมขั้นกุ้ยเฟย ไม่ปรารถนาชิงความโปรดปรานกับผู้ใด ทว่าไทเฮาผู้นี้ก็ยังคงหวาดระแวงนางกับบุตรชายไม่เลิกรา

หลินไท่เฟยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจว่า “บุตรชายของหม่อมฉันกำชัยชนะกลับมา เป็นเรื่องธรรมดาที่มารดาจะจัดงานเล็กๆ ต้อนรับเพคะ”

ถ้อยคำนั้นทำให้ไทเฮารู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายเสียดสีก็ไม่ปาน เนื่องจากหวังลู่พระราชโอรสเพียงหนึ่งเดียว แม้จะเป็นทายาทที่มีสิทธิ์สืบทอดในราชบัลลังก์โดยชอบธรรม แต่ว่าหวังซานเย่ก็เป็นเสมือนหอกข้างแคร่อยู่วันยังค่ำ พระนางไม่อาจปล่อยผ่านให้หวังชินอ๋องมีชีวิตกลับมา ดังนั้นเมื่อแคว้นเสวี่ยร่วมมือกับแคว้นเยวี่ยหลุนก่อกบฏ พระนางจึงยุยงให้ฝ่าบาทส่งหวังซานเย่ไปปราบเพื่อหวังยืมมือพวกแคว้นเสวี่ยสังหาร ทว่านอกจากทำไม่สำเร็จแล้ว ชัยชนะครั้งนี้ยังตกเป็นของเขา เกียรติยศทั้งหลายและความนับหน้าถือตายังตกเป็นของเขาอีกด้วย!

ไทเฮาทรงฝืนยิ้มแสดงความยินดี “นั่นสินะ แต่ว่างานเลี้ยงที่ไม่มีประมุขของราชสำนักฝ่ายในเช่นนี้ คงไม่ทำให้ใครหลายคนคิดว่าเจ้าคิดแข็ง

ข้อกระมัง”

หลินไท่เฟยทราบดีว่าสิ่งที่ไทเฮาต้องการจะสื่อหมายถึงสิ่งใด นางยิ้มพรายตอบกลับไปว่า “เพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันทราบดี ประเดี๋ยวอีกสักครู่หากฮองเฮาทรงยกน้ำชากับไทเฮาเสร็จแล้ว หม่อมฉันจะเชิญฮองเฮามาร่วมงานด้วยตนเองเพคะ”

คำตอบนี้เหมือนหักพระพักตร์ของหูไทเฮาก็ไม่ปาน พระนางทรงกำหมัดแน่นกับถ้อยคำที่หลินไท่เฟยกล่าวออกมา

“ถ้าเช่นนั้น หากชินอ๋องกลับมาก็ฝากแสดงความยินดีแทนด้วยแล้วกันล่ะ”

หลินไท่เฟยยิ้มรับ “เพคะ ไว้หม่อมฉันจะให้เขาไปคำนับที่ตำหนักนะเพคะ”

หูไทเฮาสะบัดชายอาภรณ์กลับตำหนัก ท่าทีหยิ่งยโสของหลินไท่เฟยทำให้พระนางรู้สึกขัดเคืองพระทัยอย่างยิ่ง ทั้งที่ทรงกุมอำนาจสูงสุดในวังหลวงเอาไว้ แต่กลับถูกเมินเฉยเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพระนางก็จะทำให้หวังชินอ๋องและหลินไท่เฟยมิได้สมปรารถนา!

เนื่องจากหลินไท่เฟยทรงมีรับสั่งเชื้อเชิญเหล่าบรรดาสตรีชั้นสูงจากสกุลขุนนางจำนวนมาก รวมถึงสกุลเฉินของเฉินซู่กวงซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้ากรมพระคลัง ซึ่งมีชื่อเสียงที่ดีงามในเมืองหลวงถึงเรื่องความตงฉินและใจซื่อมือสะอาด ดังนั้นไท่เฟยที่รับรู้กิตติศัพท์ความซื่อสัตย์ต่อบ้านเมืองนี้ จึงทรงมีรับสั่งให้เชื้อเชิญบุตรีของเฉินซู่กวงไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ในตำหนักของฝ่ายในด้วย

ดังนั้นเมื่อเฉินฮูหยินทราบเรื่องนี้นางจึงตอบรับสาสน์ด้วยนั้นด้วยความดีใจ และตระเตรียมอาภรณ์แพรพรรณเครื่องประดับงดงามให้กับเฉินรั่วหลานจำนวนมาก เพื่อให้บุตรสาวของตนเป็นที่สะดุดของหวังชินอ๋องหรือหวัง

ซานเย่และวางแผนกีดกันเฉินหว่านอิ๋งออกไป!

“ท่านพี่ ท่านก็ทราบดีนี่เจ้าคะ ว่างานนี้ไท่เฟยทรงเชิญแต่บุตรสาวของเรา หลานเอ๋อร์มีเชื้อสายแท้ๆ ของสกุลเฉิน ให้นางไปร่วมงานของไท่เฟยย่อมดีกว่าเพคะ” เฉินฮูหยินกล่าวเกลี้ยกล่อมสามีพลางจัดอาภรณ์อีกฝ่ายให้แน่นกระชับ

“แต่เฉินหว่านอิ๋งก็เป็นลูกของข้าเหมือนกัน ในฐานะบิดาข้าไม่อาจใจร้ายใจดำกับนางได้ หากไท่เฟยทรงทราบเข้าอาจพิโรธ” มิใช่ว่าเฉินซู่กวงมิรักบุตรสาวทั้งสอง หากแต่ว่าจะให้ส่งคนใดคนหนึ่งไปแทนและทอดทิ้งอีกคนหนึ่งเอาไว้ดูจะไม่ค่อยยุติธรรมนัก โดยเฉพาะเฉินหว่านอิ๋งที่น่าสงสารกว่าใคร

เฉินฮูหยินชักสีหน้าใส่สามีอย่างไม่พอใจ

“นางมิใช่สายเลือดแท้ๆ ของข้า แม่ของนางเป็นใครก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดถึงใช่หรือไม่ แม่ของนางก็แค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ตลอดหลายสิบปีมานี้ข้าก็ต้องอดทนเฝ้าเห็นนางมาตลอด หลานเอ๋อร์ก็ต้องทนเห็นภาพท่านเอาใจใส่นางมากกว่า ท่านทำเพื่อนางมามากพอแล้ว คราวนี้รั่วหลานต้องเป็นคนไปร่วมงานของไท่เฟยเพคะ มิใช่บุตรสาวของสตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป